คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 475 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือ ชื่อ “อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ”
“ เรื่องเล่าสนุก ๆ สร้างแรงบันดาลใจ ข้อคิดที่แหวกกฎแต่ลึกซึ้งและวิธีนำไปใช้ได้จริง
หนังสือเล่มนี้มีทุกสิ่งที่คุณต้องการหาในหนังสือพัฒนาตนเอง/ พัฒนาธุรกิจชั้นยอด
ไม่ว่าคุณจะต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต อยากได้ไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงาน หรือเพียงอยากได้หนังสือดีอ่านสนุกมากสักเล่ม
หนังสือเล่มนี้คือหนังสือของคุณ
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 475 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือ ชื่อ “อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ” ”
=ภาพรวม=
เมื่อเห็นชื่อผู้เขียน คุณรวิศ หาญอุตสาหะ คอหนังสือหรือคนทำงาน เจ้าของธุรกิจใหญ่น้อยคงรู้จักเขาดีอยู่แล้วว่าเป็นยอดมนุษย์นักอ่านเจ้าของผลิตภัณฑ์ศรีจันทร์ซึ่งเต็มที่กับชีวิตมาก
เป็นทั้งนักเขียนเบสต์เซลเลอร์(ทุกเล่มที่ออก) เจ้าของกิจการ วิทยากร ฯลฯ และยังแบ่งเวลาไปออกกำลังกายและดูแลครอบครัวได้อย่างดี
ผู้วิจารณ์กล้าฟันธงว่าที่เขาเขียนได้ดีขนาดนี้ก็เพราะเขาอ่านหนังสือมากนั่นเอง ในเล่มแรก ๆ ของเขาคุณรวิศเคยบอกว่าที่บ้านเขามีหนังสือ 5,000 เล่ม และทุกวันนี้ยังแบ่งเวลาอ่านหนังสืออย่างมีวินัยวันละอย่างน้อย 1 ชม.
คุณรวิศเขียนในคำนำว่า นอกจากเรื่องธุรกิจแล้วเขายังเขียนเรื่องแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีคุณค่า และ มีความหมายอีกด้วย
ถ้าคุณอยากทราบเคล็ดลับความสำเร็จของเขา และก็ตื่นตาตื่นใจกับเรื่องเล่าชวน “ว้าว” ที่เขาไปอ่านเจอและนำมาเล่า คุณพลาดหนังสือเล่มนี้ไม่ได้จริง ๆ (ป.ล. ผู้วิจารณ์ไม่ได้รู้จักคุณรวิศเป็นการส่วนตัวและไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์มาโปรโมทแต่อย่างใด)
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* เราทุกคนและธุรกิจของเราล้วนมี “วาฬ” อยู่ในตัว มันคือจุดแข็ง ความสามารถหลักที่นำเรามาสู่จุดที่เราอยู่ ณ ปัจจุบัน
* โลกกำลังอยู่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถ้าเราไม่ใส่ใจวาฬของเราและปรับตัว วาฬเราอาจจะตายได้
* วาฬของธุรกิจพลังงานคือน้ำมันเพราะรถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะมาแทนที่ ค่าแบตเตอรี่และเทคโนโลยีอื่น ๆ จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากกว่า ดังนั้นวาฬที่ว่าคือ น้ำมัน กำลังจะตาย
* วาฬของธุรกิจแท็กซี่ คือ คนขับ เพราะเมื่อรถยนต์สามารถขับได้ด้วยตัวเอง คนขับก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
* Johnny เด็กหนุ่มอายุ 19 ปีที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม ทำงานหยิบสินค้าใส่ถุงอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง สามารถเกิดไอเดียทำกระดาษเขียนคำคมประจำวันที่ตนเองหามาจากอินเทอร์เน็ตมอบให้ลูกค้า ทำให้ลูกค้าประทับใจมากขนาดที่ยอมเดินทางมาไกลเพื่อมาซื้อของที่ร้านของเขา
เขากลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เพื่อนร่วมงานอื่น ๆ อยากลุกขึ้นมามอบความทรงจำดี ๆ ให้ลูกค้าบ้าง
* Larry Page ซีอีโอของ Google มองการสร้างนวัตกรรมว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน เขาไม่เชื่อว่าการแข่งขันแต่กับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้ แต่ต้องเป็นวิธีคิดที่ว่า “ฉันต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลก” จึงจะเกิดความอัศจรรย์ขึ้นได้
* ด้วยวิสัยทัศน์นี้ Google จึงใช้เวลาเพียงแค่สิบปีนิด ๆ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 400,000 ล้านเหรียญ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
* รถยนต์ไร้คนขับของ Google มาจากแนวคิดของ Larry Page ที่ว่า ทุกปีในสหรัฐมีคนกว่า 370,000 คนต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และกว่า 93% ของอุบัติเหตุนั้นมาจากความผิดพลาดของมนุษย์
Larry Page จึงตั้งคำถามแบบสุดขั้วว่า เราจะป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จากความผิดพลาดของมนุษย์ได้อย่างไร คำตอบคือ เอาคนขับออกจากสมการซะ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่แหวกทุกกฎอย่างแท้จริง
* เมื่อใดที่คุณตกอยู่ในช่วงของความล้มเหลว เช่น นอนน้อยไป ทานอาหารขยะมากไป ขี้เกียจ ฯลฯ ให้คุณสร้างกิจวัตรที่ดีขึ้นมาหนึ่งอย่างที่จะทำต่อกันได้สัก 45 วัน
มันคือการสัญญากับตัวเองว่า ไม่ว่าชีวิตเราช่วงนี้จะเป็นอย่างไร เราจะต้องบังคับตัวเองให้ทำเรื่องดี ๆ หนึ่งอย่าง (ผู้เขียนเลือกการตื่นตีห้าทุกวัน)
กิจวัตรที่ดีหนึ่งอย่างจะส่งผลให้เกิดกิจวัตรที่ดีตามมาอีกหลายอย่างในวันนั้นโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรมากเลย
* Michael Hay ผู้เป็น Creative Director ที่ IKEA ได้รับโจทย์สุดหินให้ทำโต๊ะที่สามารถขายได้ในราคา 5 ยูโรและต้องมีกำไรด้วย ซึ่งเงิน 5 ยูโรในขณะนั้นสามารถซื้อกาแฟสตาร์บัคส์ได้ราวสองแก้วเท่านั้น
Michael โยนกรอบแนวความคิดเดิม ๆ ทิ้งไป รวมทั้ง supplier เดิม ๆ ด้วย รวมทั้งไม่มองคู่แข่ง เพราะถ้าทำได้พวกเขาก็คงทำไปแล้ว
Michael เลือกที่จะคุยกับผู้ผลิตวัตถุดิบในงานก่อสร้างแทบทุกชนิดแล้วค้นพบว่า การเอาบานประตูมาตัดครึ่งและต่อขาทำให้ IKEA สามารถขายโต๊ะในราคา 5 ยูโรและมีกำไรได้ นี่คือสุดยอดนวัตกรรม ไม่ต้องไฮเทค แต่มาจากความคิดสร้างสรรค์ล้วน ๆ
* ในการแข่งรถระดับโลก ทุกคนคิดว่า “จะผลิตรถที่เร็วกว่าคู่แข่งได้อย่างไร” แต่ Audi กลับคิดว่า “เราจะชนะได้อย่างไรถ้ารถเราไม่ได้เร็วกว่าคู่แข่ง”
ด้วยแนวคิดนี้ Audi พบว่า การแข่งรถไม่ได้มีแค่มิติเดียว แต่มีการหยุดพักเข้า Pit Stop เพื่อเติมน้ำมัน ฯลฯ ด้วย Audi จึงตั้งโจทย์ใหม่ให้เป็นรถแข่งที่ประหยัดน้ำมันมากจนเข้าพิทน้อยที่สุด และส่งรถเครื่องยนต์ดีเซลลงแข่ง
ผลคือสามารถครองแชมป์ 24 Hours of Le Mans ซึ่งเป็นรายการแข่งรถที่โหดที่สุดได้ถึงสามปีติดกันหลังจากนั้น
* Josh Opperman คือผู้ที่สามารถเปลี่ยนการอกหักเป็นธุรกิจระดับล้าน เมื่อคู่หมั้นสาวทิ้งเขาไปพร้อมกับทิ้งแหวนหมั้นเอาไว้ด้วย ตอนแรกเขาพยายามจะขายแหวนคืนร้านไปในราคาพอ ๆ กับที่ซื้อมา คือ 10,000 เหรียญ เพราะแหวนยังใหม่เอี่ยม แต่ทางร้านให้ราคาเพียง 3,500 เหรียญเท่านั้น
ด้วยความเสียดาย Josh จึงยังไม่ขาย และกลับมาคิดกับน้องสาวว่า น่าจะมีพวกอกหักที่อยากขายแหวนหมั้นพวกนี้ไม่น้อยเหมือนกัน จึงตั้งเว็บไซต์เป็นตัวกลางในการซื้อขาย โดยมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยตรวจสอบสินค้าว่าเป็นของแท้หรือไม่
เพียงไม่กี่ปีเว็บไซต์ I Do Now I Don’t ก็สามารถสร้างรายได้มากถึงปีละ 3 ล้านเหรียญ
* “คำว่า ‘ไม่มีเงิน’ เป็นเพียงข้ออ้าง” เมื่อ Judd Armstrong รู้สึกหงุดหงิดกับปัญหาหูฟังไร้สายลื่นหลุดเวลาเหงื่อออกระหว่างออกกำลังกาย เขาหาเจ้าไหนก็ไม่มี จึงตั้งบริษัท JayBird เพื่อผลิตขึ้นมาเอง
คู่แข่งมีแต่บริษัทยักษ์ ๆ และ JayBird ไม่มีงบการตลาดมากนัก เขาจึงเลือกพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่เล่นกีฬาหนัก ๆ โดยเฉพาะ โดยรับประกันตลอดชีพหากหูฟังได้รับความเสียหายจากเหงื่อหรือความชื้น ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่กล้าทำ
เขาเลือกขายเฉพาะออนไลน์กับใน best buy เลือกทำกล่องให้ดูสวยงามเป็นงานศิลปะ ตั้งราคาแพงกว่าคู่แข่งเกือบเท่าตัวเพราะมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับคุณค่ามากกว่านั้น
เพียง 5 ปีหลังจาการก่อตั้งบริษัท JayBird ก็สามารถทำรายได้ปีละ 1,000 ล้านบาท
ดังนั้น ถ้ามีเงินไม่เยอะ “สมอง” จะเป็นอาวุธอย่างเดียวที่จะใช้สู้คู่แข่งได้
* Jack Dorsey CEO ของ twitter ครั้งหนึ่งเคยหัวเสียที่มีคนอยากซื้องานศิลปะของเขาในราคาถึง 2,000 เหรียญแต่เขาไม่สามารถขายให้ได้เพราะตัวเขาไม่สามารถรับบัตรเครดิตได้
เขาจึงคิดค้นตัวเชื่อมที่จะต่อเข้ากับไอโฟนเพื่อให้คนทั่วไปสามารถรับบัตรเครดิตได้โดยโหลดแอพ ติดตัวเชื่อมแล้วใช้งานได้ทันที
ระบบนี้ชื่อว่า Square ทุกวันนี้มีมูลค่าบริษัท 6,000 ล้านเหรียญ ส่วนทวิตเตอร์ที่มีมูลค่า 40,000 ล้านเหรียญนั้นเกิดขึ้นด้วยคำถามของ Jack ว่า “เราจะบอก status ให้เพื่อน ๆ รู้ได้อย่างง่ายที่สุดได้อย่างไร?”
* คนเรามีเวลาเฉลี่ยอยู่บนโลกกว่า 27,350 วัน เป็นวันทำงานไป 10,575 วัน ทำไมต้องทนอยู่กับสิ่งที่เรารู้ว่าไม่ใช่
* หัวใจของความคิดสร้างสรรค์คือ การคิดเชื่อมโยง Robert Lang เป็นวิศวกรที่หลงใหลการพับกระดาษมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะเป็นวิศวกรที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาก็ตัดสินใจทิ้งอาชีพมาศึกษาการพับกระดาษอย่างจริงจัง
ผลปรากฏว่า ในที่สุด ความสามารถทางวิศวกรรม คณิตศาสตร์ และการพับกระดาษของเขาช่วยให้เขาได้มอบทางออกให้กับองค์กรใหญ่ ๆ มากมาย
เช่น NASA มาปรึกษาให้เขาช่วย “พับ” กล้องส่องทางไกลเพื่อส่งขึ้นไปในอวกาศแล้วค่อยกางออกอีกที
ผู้ผลิตถุงลมนิรภัยของเยอรมันมาปรึกษาให้เขาช่วย “พับ” ถุงลมเพื่อกางออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ผู้ผลิตอุปกรณ์ขยายหลอดเลือดมาให้เขาช่วย “พับ” อุปกรณ์ให้เล็กที่สุดแล้วค่อยไปขยายตัวเมื่อถึงเป้าหมาย
บางทีสิ่งที่เราทำอยู่อาจเชื่อมโยงกับสิ่งที่นึกไม่ถึง จงหามันให้เจอ
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* อย่าหลับหูหลับตาพัฒนาตนเองจนลืมมองดูโลกกว้าง คนเราโดยเฉพาะในยุคนี้ต้องหมั่นเปิดหูเปิดตาศึกษาความเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดเวลาไม่เช่นนั้นวาฬของเราจะตาย
* การพัฒนาตนเองเกิดจากการได้แรงบันดาลใจ ส่งให้มีพลังลุกขึ้นมาจัดการชีวิตตนเอง มีวินัย มีความเพียร จนไปถึงความสำเร็จได้ และแม้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็ยังคงต้องพัฒนาตนเองต่อไปไม่หยุด
* หนังสือเล่มนี้อัดแน่นไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจมากมายตลอดทั้งเล่มจนผู้วิจารณ์เลือกมาเขียนรีวิวได้ลำบากมากเพราะอยากเขียนถึงไปหมด จึงขอแนะนำให้คุณผู้อ่านไปหามาอ่านเองทั้งเล่มจะได้ประโยชน์สูงสุด
หนังสือชื่อ “อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ” โดย รวิศ หาญอุตสาหะ สำนักพิมพ์วีเลิร์น 320 หน้า ราคา 265 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป