ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
บทวิจารณ์บรรณาธิการ : สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด
บทวิจารณ์บรรณาธิการ
ย่อยทฤษฎีการตลาดอย่างเนียนๆ ในรูปแบบนวนิยายผ่านเรื่องราวของสาวมั่น อดีตนักขายผู้ไม่เคยผ่านงานการตลาด แต่ใฝ่ฝันจะผลักดันสุดยอดผลิตภัณฑ์เพื่อแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการ
หนังสือ
180.00 บาท
171.00 บาท
คอลัมน์ ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ เล่มที่ 24 วันนี้จะมาชวนคุยถึงหนังสือชื่อ “สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด” ที่คุณสุภาพบุรุษก็อ่าน
“ เพราะในเรื่องนี้ผู้ที่คอยป้อนคำถามการตลาดฉลาด ๆ ให้นางเอกไปตีโจทย์ก็คือ “พระเอก” นั่นเองค่ะ ถ้าท่านชอบเล่มที่สอนงานบริการผ่านเรื่องเล่าอย่าง “สิ่งที่ดิสนีย์สอนฉัน” ที่เรารีวิวกันไปเล่มที่ 14 นั้น ท่านก็น่าจะสนุกกับเล่มนี้ค่ะ แต่ “สาวมั่นฯ” นี้ไม่ได้ออกแนวซาบซึ้งน้ำตาซึมเหมือนเล่มดิสนีย์นะคะ จะทำให้ท่านอมยิ้มมากกว่าค่ะ ^_^ ”
โดย ดร.ณัชร จัดหนังสือ
    
ผู้วิจารณ์มองว่า นี่น่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ในญี่ปุ่นสำหรับหนังสือที่สอนเรื่องราวทางธุรกิจ (และอาจจะรวมไปถึงวิชาการอื่น ๆ ด้วย) นะคะ นั่นก็คือการใช้วิธีเล่าเรื่องแบบนิยายโดยสอดแทรกเกร็ดความรู้อย่างกลมกลืนแนบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันค่ะ

ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดมากทีเดียว  เพราะจากประสบการณ์ที่ผู้วิจารณ์เคยอ่านหนังสือ How to ที่แนะนำเคล็ดลับการจำหรือพัฒนาศักยภาพสมองต่าง ๆ มาหลายเล่มนั้น  เทคนิคหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การ “ผูกเรื่องราว” จากข้อมูลดิบที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยให้เป็นเรื่องเดียวกันค่ะ  

นอกจากการ “ผูกเป็นเรื่องราว” แล้ว  ถ้าเรื่องราวนั้นสามารถเข้าไป “กระตุ้นอารมณ์” เราได้ด้วย เช่น ขำขัน เพลิดเพลิน ตื่นเต้น ซาบซึ้ง ฯลฯ  สมองเราก็จะยิ่งจำได้มากขึ้นค่ะ  

สาระในหนังสือเล่มนี้ไม่ต่างจากวิชาการตลาดที่มีทั้งทฤษฎีและกรณีศึกษา ซึ่งถ้าต้องท่องตำราไปสอบจะรู้สึกว่ายากและจำได้ไม่หมด แต่เวลามาอ่านในรูปแบบนิยายที่อ่านไปอมยิ้มไปอย่างนี้พบว่า  สามารถจำเนื้อหาได้หมดทั้งเล่ม(เล็ก ๆ)อย่างง่ายดายค่ะ

 “สาวมั่นฯ” นี้เปิดเรื่องมาด้วยนางเอก มิยามาเอะ คูมิ มือขายหน้าตาดีระดับแนวหน้าของบริษัทซอฟท์แวร์การบัญชีเดินทางกลับมารับตำแหน่งในฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ที่โตเกียวหลังจากที่ไปทำงานขายให้บริษัทที่ต่างจังหวัดเสียหลายปี  

ที่สำนักงานใหญ่กรุงโตเกียวนี้เธอได้พบกับผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายวางแผนฯ ชื่อ โยดะ มาโกโตะ  หนุ่มมาดสุขุมผู้ลุ่มลึกไปด้วยไหวพริบด้านการตลาด  นางเอกสาวสวยของเราไม่กินเส้นกับพระเอกเท่าไหร่ค่ะเพราะแนวคิดเรื่องการตลาดไม่เหมือนกัน  

ด้วยความที่นางเอกนั้นงอนพระเอกทีก็ไปนวดหน้าบ้าง ไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าย่านนู้นย่านนี้บ้าง  ท่านผู้อ่านก็จะได้บรรยากาศการเที่ยวโตเกียวแถมไปนิดหน่อยด้วยและในขณะเดียวกันผู้เขียนก็สอดแทรกแนวคิดการตลาดไปได้อย่างแนบเนียนในทุกกิจกรรมที่นางเอกไปทำด้วยค่ะ  ซึ่งตรงนี้เป็นพล็อตที่ฉลาดมากนะคะเพราะจะทำให้นางเอก “ปิ๊ง” ไอเดียเอาไปปรับใช้กับงานได้อีก

ผู้วิจารณ์ชอบที่ผู้เขียนให้ความใส่ใจรายละเอียดในส่วน “นิยาย” ไม่แพ้ส่วนที่สอนเรื่องการตลาดค่ะ เช่น ฉากที่นางเอกจะต้องหาทางสร้างพันธมิตรทางธุรกิจก็เกิดระหว่างการรับประทานอาหารในร้านอาหารฝรั่งเศสอันหรูหราที่ปรุงด้วยเชฟกระทะเหล็กด้วยทีเดียว  ผู้เขียนระบุไว้ในเชิงอรรถท้ายเล่มว่าร้านนี้มีอยู่จริงที่เขตเอบิสึในกรุงโตเกียวด้วยค่ะ  ฉากนี้ได้บรรยากาศการเจรจาแบบลุ้นไปด้วยราวกับดูซีรี่ส์ญี่ปุ่น แถมบรรยายอาหารเสียจนหิวไปด้วยเลยค่ะ  ^_^

และถึงแม้ว่าบริษัทที่ใช้เดินเรื่องจะขายซอฟท์แวร์ทำบัญชี  แต่กรณีศึกษาการตลาดที่พระเอกยกขึ้นมาสอนคนในแผนกนั้นมีหลากหลายมากค่ะ  ตั้งแต่กรณีบริษัทรถไฟในอเมริกาที่ “เจ๊ง” เพราะคิดว่าตนเองเป็น “บริษัทรถไฟ” กรณีที่โรงแรมระดับริทซ์-คาร์ลตันมีวิธีขายโค้กราคา 100 เยนได้ในราคา 1,000 เยนโดยลูกค้ายินดียอมจ่าย  ร้านเสริมความงามที่ “ไม่ขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว” ฯลฯ  

นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีการตลาดใหม่ ๆ ที่พระเอกยกมาอธิบายประกอบได้อย่างน่าสนใจด้วยค่ะ  มีแผนผังประกอบให้ดูเข้าใจง่ายด้วยนะคะ แต่ต้องบอกไว้ก่อนนิดนึงว่าเล่มนี้ไม่ใช่คู่มือการตลาดแบบสมบูรณ์ที่สอนจากเบื้องต้นนะคะ  เป็นลักษณะเกร็ดความรู้การตลาดมากกว่าค่ะ  แต่ก็มีบรรณานุกรมท้ายเล่มให้ไปค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องได้นะคะ

ตัวอย่างแนวคิดทางการตลาดที่ถูกนำมาถักทอเป็นส่วนหนึ่งของพล็อตเรื่องก็มี  หลุมพรางของแนวคิดที่มองลูกค้าถูกเสมอ  กลไกความพึงพอใจของลูกค้า  กลยุทธของผู้ท้าชิง  นิยามของการนำเสนอคุณค่า  และ กลยุทธบลูโอเชียน เป็นต้นค่ะ

และเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินเรื่อง นางเอกของเรามีคู่แข่งอยู่อีกบริษัทด้วยค่ะ  ไม่อยากเรียกว่านางร้าย หรือ นางอิจฉา เพราะมาดเธอออกจะเป็นนางเอกมากกว่านางเอกตัวจริงอีกค่ะ   และตัวสาวคู่แข่งผู้นุ่มนวล มารยาทงาม คนนี้นี่แหละค่ะที่โยงไปให้เรื่องจะต้องมีภาค 2 ออกมาอีก  อดใจรอนิดนึงนะคะ ผู้วิจารณ์ได้เข้าคิวหนังสือรอรีวิวไว้ให้แล้วค่ะ ^_^

อ่านจบแล้วผู้วิจารณ์รู้สึกเหมือนที่ผู้แปลเขียนไว้ในคำนำค่ะ คือ หนักใจแทนสำนักพิมพ์ว่าควรจะวางหนังสือนี้ที่ชั้นไหน  จะวางชั้นนิยายก็กลัวผิดคอนเซ็ปท์  จะวางชั้นการตลาดก็กลัวคนไม่มอง 5555  สรุปว่าบรรดานักเขียนญี่ปุ่นหักปากกาเซียนค่ะโดยการสร้าง genre ใหม่ของหนังสือขึ้นมาเรียบร้อย  คอยจับตามองในบรรณพิภพนะคะว่าอีกหน่อยเราต้องมีนิยามสำหรับหนังสือแนวนี้หรือไม่   ถ้าเป็นท่านผู้อ่านจะเรียกว่าอะไรดีคะ?

ด้วยความอ่านง่ายนั้นหนังสือเล่มนี้อ่านได้ตั้งแต่เด็กมัธยมเป็นต้นไปเลยค่ะ  นอกจากบุคคลทั่วไปแล้ว ท่านที่สนใจเรื่องสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่น การทำธุรกิจแบบญี่ปุ่น องค์กรญี่ปุ่น  และแน่นอนผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานการตลาดนั้นก็จะได้ประโยชน์ค่ะ  

มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ผู้วิจารณ์อยากให้อ่านนะคะคือ ครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะสาขาใด  เพื่อที่บรรดาครูจะได้มีแรงบันดาลใจทำบทเรียนให้เป็น “นิยายสนุก ๆ” สอนหนังสือเด็กไทยได้  อยากให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยศึกษาหนังสือแนวนี้เอาไว้ค่ะ  ขอให้ทางสำนักพิมพ์ขายราคาพิเศษให้สถาบันการศึกษาไทยด้วยนะคะ

หนังสือชื่อ  สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด  แปลจาก 100 Yen no Cola o 1000 Yen de Uru Hou Hou  ของ Takahisa Nagai  โดย คุณธนัญ พลแสน  สำนักพิมพ์ ส.ส.ท.  208 หน้า  ราคา 180 บาท  มีขายตามร้านหนังสือชั้นนำและเวบของร้านหนังสือต่าง ๆ  หรือเวบของส.ส.ท. www.tpa.or.th
-----------------------------------------------------------------
คอลัมน์ "ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ" นี้ มีขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยเพาะบ่มนิสัยรักการอ่านค่ะ
----------------------------------------------------------------
***หมายเหตุ***  สำนักพิมพ์ส.ส.ท. ใจดี มีหนังสืออีก 3 เล่ม 3 เรื่อง มาแจกสำหรับผู้ร่วมเล่นเกมตอบปัญหา “สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด” ด้วยนะคะ  อ่านรายละเอียดได้ในคอมเม้นท์ค่ะ




ลักษณะของหนังสือมีตำหนิ (หนังสือเกรด B)
ตัวอย่าง เกรด/สภาพ
สภาพหนังสือชำรุดเล็กน้อย (B1)
ปกพับ สันบุบ ขาด
ลดราคา 20%
สภาพหนังสือชำรุดปานกลาง (B2)
ปกพับ สันบุบ ขาด สังเกตเห็นได้ว่าขาด ชำรุดมาก
ลดราคา 30%
สภาพหนังสือเก่าชำรุดปานกลาง (B3)
แต่ไม่มาก อาจมีสภาพปกพับ ปกหักร่วมด้วย
ลดราคา 50%
สภาพหนังสือเก่ามาก (B4)
อาจมีสภาพชำรุดร่วมด้วย แต่เนื้อหายังครบถ้วน
ลดราคา 70%
(ซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยน หรือคืนทุกกรณี ยกเว้นชำรุดอันเนื่องมาจากการพิมพ์)