คอลัมน์ ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ เล่มที่ 24 วันนี้จะมาชวนคุยถึงหนังสือชื่อ “สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด” ที่คุณสุภาพบุรุษก็อ่าน
“ เพราะในเรื่องนี้ผู้ที่คอยป้อนคำถามการตลาดฉลาด ๆ ให้นางเอกไปตีโจทย์ก็คือ “พระเอก” นั่นเองค่ะ
ถ้าท่านชอบเล่มที่สอนงานบริการผ่านเรื่องเล่าอย่าง “สิ่งที่ดิสนีย์สอนฉัน” ที่เรารีวิวกันไปเล่มที่ 14 นั้น ท่านก็น่าจะสนุกกับเล่มนี้ค่ะ แต่ “สาวมั่นฯ” นี้ไม่ได้ออกแนวซาบซึ้งน้ำตาซึมเหมือนเล่มดิสนีย์นะคะ จะทำให้ท่านอมยิ้มมากกว่าค่ะ ^_^ ”
ผู้วิจารณ์มองว่า นี่น่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ในญี่ปุ่นสำหรับหนังสือที่สอนเรื่องราวทางธุรกิจ (และอาจจะรวมไปถึงวิชาการอื่น ๆ ด้วย) นะคะ นั่นก็คือการใช้วิธีเล่าเรื่องแบบนิยายโดยสอดแทรกเกร็ดความรู้อย่างกลมกลืนแนบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันค่ะ
ซึ่งนับว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดมากทีเดียว เพราะจากประสบการณ์ที่ผู้วิจารณ์เคยอ่านหนังสือ How to ที่แนะนำเคล็ดลับการจำหรือพัฒนาศักยภาพสมองต่าง ๆ มาหลายเล่มนั้น เทคนิคหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การ “ผูกเรื่องราว” จากข้อมูลดิบที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยให้เป็นเรื่องเดียวกันค่ะ
นอกจากการ “ผูกเป็นเรื่องราว” แล้ว ถ้าเรื่องราวนั้นสามารถเข้าไป “กระตุ้นอารมณ์” เราได้ด้วย เช่น ขำขัน เพลิดเพลิน ตื่นเต้น ซาบซึ้ง ฯลฯ สมองเราก็จะยิ่งจำได้มากขึ้นค่ะ
สาระในหนังสือเล่มนี้ไม่ต่างจากวิชาการตลาดที่มีทั้งทฤษฎีและกรณีศึกษา ซึ่งถ้าต้องท่องตำราไปสอบจะรู้สึกว่ายากและจำได้ไม่หมด แต่เวลามาอ่านในรูปแบบนิยายที่อ่านไปอมยิ้มไปอย่างนี้พบว่า สามารถจำเนื้อหาได้หมดทั้งเล่ม(เล็ก ๆ)อย่างง่ายดายค่ะ
“สาวมั่นฯ” นี้เปิดเรื่องมาด้วยนางเอก มิยามาเอะ คูมิ มือขายหน้าตาดีระดับแนวหน้าของบริษัทซอฟท์แวร์การบัญชีเดินทางกลับมารับตำแหน่งในฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ที่โตเกียวหลังจากที่ไปทำงานขายให้บริษัทที่ต่างจังหวัดเสียหลายปี
ที่สำนักงานใหญ่กรุงโตเกียวนี้เธอได้พบกับผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายวางแผนฯ ชื่อ โยดะ มาโกโตะ หนุ่มมาดสุขุมผู้ลุ่มลึกไปด้วยไหวพริบด้านการตลาด นางเอกสาวสวยของเราไม่กินเส้นกับพระเอกเท่าไหร่ค่ะเพราะแนวคิดเรื่องการตลาดไม่เหมือนกัน
ด้วยความที่นางเอกนั้นงอนพระเอกทีก็ไปนวดหน้าบ้าง ไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าย่านนู้นย่านนี้บ้าง ท่านผู้อ่านก็จะได้บรรยากาศการเที่ยวโตเกียวแถมไปนิดหน่อยด้วยและในขณะเดียวกันผู้เขียนก็สอดแทรกแนวคิดการตลาดไปได้อย่างแนบเนียนในทุกกิจกรรมที่นางเอกไปทำด้วยค่ะ ซึ่งตรงนี้เป็นพล็อตที่ฉลาดมากนะคะเพราะจะทำให้นางเอก “ปิ๊ง” ไอเดียเอาไปปรับใช้กับงานได้อีก
ผู้วิจารณ์ชอบที่ผู้เขียนให้ความใส่ใจรายละเอียดในส่วน “นิยาย” ไม่แพ้ส่วนที่สอนเรื่องการตลาดค่ะ เช่น ฉากที่นางเอกจะต้องหาทางสร้างพันธมิตรทางธุรกิจก็เกิดระหว่างการรับประทานอาหารในร้านอาหารฝรั่งเศสอันหรูหราที่ปรุงด้วยเชฟกระทะเหล็กด้วยทีเดียว ผู้เขียนระบุไว้ในเชิงอรรถท้ายเล่มว่าร้านนี้มีอยู่จริงที่เขตเอบิสึในกรุงโตเกียวด้วยค่ะ ฉากนี้ได้บรรยากาศการเจรจาแบบลุ้นไปด้วยราวกับดูซีรี่ส์ญี่ปุ่น แถมบรรยายอาหารเสียจนหิวไปด้วยเลยค่ะ ^_^
และถึงแม้ว่าบริษัทที่ใช้เดินเรื่องจะขายซอฟท์แวร์ทำบัญชี แต่กรณีศึกษาการตลาดที่พระเอกยกขึ้นมาสอนคนในแผนกนั้นมีหลากหลายมากค่ะ ตั้งแต่กรณีบริษัทรถไฟในอเมริกาที่ “เจ๊ง” เพราะคิดว่าตนเองเป็น “บริษัทรถไฟ” กรณีที่โรงแรมระดับริทซ์-คาร์ลตันมีวิธีขายโค้กราคา 100 เยนได้ในราคา 1,000 เยนโดยลูกค้ายินดียอมจ่าย ร้านเสริมความงามที่ “ไม่ขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว” ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีการตลาดใหม่ ๆ ที่พระเอกยกมาอธิบายประกอบได้อย่างน่าสนใจด้วยค่ะ มีแผนผังประกอบให้ดูเข้าใจง่ายด้วยนะคะ แต่ต้องบอกไว้ก่อนนิดนึงว่าเล่มนี้ไม่ใช่คู่มือการตลาดแบบสมบูรณ์ที่สอนจากเบื้องต้นนะคะ เป็นลักษณะเกร็ดความรู้การตลาดมากกว่าค่ะ แต่ก็มีบรรณานุกรมท้ายเล่มให้ไปค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องได้นะคะ
ตัวอย่างแนวคิดทางการตลาดที่ถูกนำมาถักทอเป็นส่วนหนึ่งของพล็อตเรื่องก็มี หลุมพรางของแนวคิดที่มองลูกค้าถูกเสมอ กลไกความพึงพอใจของลูกค้า กลยุทธของผู้ท้าชิง นิยามของการนำเสนอคุณค่า และ กลยุทธบลูโอเชียน เป็นต้นค่ะ
และเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินเรื่อง นางเอกของเรามีคู่แข่งอยู่อีกบริษัทด้วยค่ะ ไม่อยากเรียกว่านางร้าย หรือ นางอิจฉา เพราะมาดเธอออกจะเป็นนางเอกมากกว่านางเอกตัวจริงอีกค่ะ และตัวสาวคู่แข่งผู้นุ่มนวล มารยาทงาม คนนี้นี่แหละค่ะที่โยงไปให้เรื่องจะต้องมีภาค 2 ออกมาอีก อดใจรอนิดนึงนะคะ ผู้วิจารณ์ได้เข้าคิวหนังสือรอรีวิวไว้ให้แล้วค่ะ ^_^
อ่านจบแล้วผู้วิจารณ์รู้สึกเหมือนที่ผู้แปลเขียนไว้ในคำนำค่ะ คือ หนักใจแทนสำนักพิมพ์ว่าควรจะวางหนังสือนี้ที่ชั้นไหน จะวางชั้นนิยายก็กลัวผิดคอนเซ็ปท์ จะวางชั้นการตลาดก็กลัวคนไม่มอง 5555 สรุปว่าบรรดานักเขียนญี่ปุ่นหักปากกาเซียนค่ะโดยการสร้าง genre ใหม่ของหนังสือขึ้นมาเรียบร้อย คอยจับตามองในบรรณพิภพนะคะว่าอีกหน่อยเราต้องมีนิยามสำหรับหนังสือแนวนี้หรือไม่ ถ้าเป็นท่านผู้อ่านจะเรียกว่าอะไรดีคะ?
ด้วยความอ่านง่ายนั้นหนังสือเล่มนี้อ่านได้ตั้งแต่เด็กมัธยมเป็นต้นไปเลยค่ะ นอกจากบุคคลทั่วไปแล้ว ท่านที่สนใจเรื่องสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่น การทำธุรกิจแบบญี่ปุ่น องค์กรญี่ปุ่น และแน่นอนผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานการตลาดนั้นก็จะได้ประโยชน์ค่ะ
มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ผู้วิจารณ์อยากให้อ่านนะคะคือ ครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะสาขาใด เพื่อที่บรรดาครูจะได้มีแรงบันดาลใจทำบทเรียนให้เป็น “นิยายสนุก ๆ” สอนหนังสือเด็กไทยได้ อยากให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยศึกษาหนังสือแนวนี้เอาไว้ค่ะ ขอให้ทางสำนักพิมพ์ขายราคาพิเศษให้สถาบันการศึกษาไทยด้วยนะคะ
หนังสือชื่อ สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด แปลจาก 100 Yen no Cola o 1000 Yen de Uru Hou Hou ของ Takahisa Nagai โดย คุณธนัญ พลแสน สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. 208 หน้า ราคา 180 บาท มีขายตามร้านหนังสือชั้นนำและเวบของร้านหนังสือต่าง ๆ หรือเวบของส.ส.ท. www.tpa.or.th
-----------------------------------------------------------------
คอลัมน์ "ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ" นี้ มีขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยเพาะบ่มนิสัยรักการอ่านค่ะ
----------------------------------------------------------------
***หมายเหตุ*** สำนักพิมพ์ส.ส.ท. ใจดี มีหนังสืออีก 3 เล่ม 3 เรื่อง มาแจกสำหรับผู้ร่วมเล่นเกมตอบปัญหา “สาวมั่นกับชั้นเชิงการตลาด” ด้วยนะคะ อ่านรายละเอียดได้ในคอมเม้นท์ค่ะ